เปิดประวัติ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ย้อนเส้นทาง “จอมแฉ” ตัวตึง!
จากกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาเดินหน้าแฉเรื่องราวต่างๆจนกลายเป็นที่สนใจของคนในสังคมในเวลานี้ “พีพีทีวี” จะพาไปทำความรู้จักกับ “จอมแฉ” ตัวตึงคนนี้
โดยนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ที่จังหวัดสกลนคร แต่เติบโตในย่านเยาวราช เป็นบุตรคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง 8 คน ของนายเจริญ และนางจำเนียร กมลวิศิษฎ์ ซึ่งบิดามารดาเป็นคนจีน ครอบครัวที่ทำธุรกิจนำเข้าและผลิตเสื้อผ้ายีนส์ยี่ห้อฮาร่า
โดยนายชูวิทย์จบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนสหพาณิชย์ จบมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จบปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเข้าศึกษาต่อ ปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา
เส้นทางธุรกิจ
หลังกลับจากอเมริกา นายชูวิทย์หันมาทำธุรกิจของตัวเอง ทั้งสร้างหมู่บ้านจัดสรร และเปิดอาบอบนวดชื่อ “วิคทอเรีย ซีเคร็ท” และขยายกิจการจนเป็นเจ้าของอาบอบนวด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป และก่อตั้งมูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์ ให้การสนับสนุนก่อสร้างป้อมที่พักเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแยกไฟแดง ต่อมาได้เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกมาเปิดเผยเรื่องส่วย เป็นเรื่องที่เกรียวกราว และเริ่มทำให้นายชูวิทย์กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น จนได้รับฉายาว่า “เสี่ยอ่าง” หรือ “จอมแฉ” จนเกิดผลกระทบกับธุรกิจอาบอบนวด ถูกคดีค้าประเวณีเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ศาลสั่งยกฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ
นอกจากนั้น นายชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ภาติฌาน จำกัด, บริษัท ซี.ดี แลนด์ จำกัด, เจ้าของ บริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด, กรรมการบริษัทสุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ และ ประธานบริษัท เดวิสกรุ๊ป ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด รวมทั้งเป็นเจ้าของโรงแรม The Davis Bangkok Hotel ที่ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 24
ขณะเดียวกัน นายชูวิทย์ยังเป็นเจ้าของที่ดิน ที่ตั้งของ "สวนชูวิทย์" บริเวณระหว่างถนนสุขุมวิท ซอย 8 และ ซอย 10 โดยที่ดินดังกล่าวเคยเกิดเป็นข่าวใหญ่เมื่อปี 2546 เป็นการรื้อทำลายร้านค้าบาร์เบียร์จำนวนกว่าร้อยร้านค้า ปัจจุบันนายชูวิทย์เปิดเป็นสวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าใช้บริการ ที่ดินแปลงดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่า 5,500 ล้านบาท
เริ่มเป็นที่รู้จัก
นายชูวิทย์เป็นที่รู้จักในปี 2546 เมื่อตกเป็นข่าวรื้อบาร์เบียร์ ซึ่งครั้งนั้นมีพ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือ “เสธ.หิ”รวมอยู่ด้วย หลังจากนั้นมีข่าวว่าได้หายตัวไปอย่างลึกลับขณะมีคดีรื้อบาร์เบียร์ที่ถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นคดีที่มีคู่ความเป็นตำรวจนครบาล ไม่กี่วันต่อมานายชูวิทย์ก็ปรากฏตัวข้างถนนย่านชานเมืองแห่งหนึ่งด้วยสภาพอิดโรย มีการนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อร่างกายเริ่มฟื้นแล้ว นายชูวิทย์ได้แฉว่าถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งอุ้มตัวไป
จากนั้นชูวิทย์ก็ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะ เมื่อเจ้าตัวเริ่มทำการแฉถึงพฤติกรรมการทุจริตต่าง ๆ ของตำรวจ เช่น การรีดไถ การรับส่วย จึงทำให้เป็นจุดสนใจของสังคมในระยะนั้น และมีการออกมาแฉถึงเรื่องราวการทุจริตต่าง ๆ ในสังคม ทำให้เป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนเป็นจำนวนมาก และจากชื่อเสียงที่โด่งดังนี้ทำให้มีผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาดัดแปลงมาจากชีวประวัติของชูวิทย์อีกด้วย
เส้นทางการเมือง
ทั้งนี้นายชูวิทย์ เริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงการเมือง ในปี 2547 หลังจากที่ นายชูวิทย์ ได้ขายหุ้นในอาบอบนวดทั้งหมด แล้วลงสมัคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เบอร์ 15 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2547 แม้ไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเสียงกว่าสามแสนคะแนน และได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 3 ต่อมานายชูวิทย์ได้ก่อตั้งพรรคต้นตระกูลไทย พร้อมนำพรรค เข้าร่วมกับพรรคชาติไทยและรับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติไทย
จากนั้นนายชูวิทย์ลงสมัครเลือกตั้ง สสคำพูดจาก สล็อต777 เว็บตรง. ในปี 2548 และได้รับเลือกเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย แต่ต่อมาถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยไม่ครบ 90 วัน จึงพ้นจากความเป็น ส.ส. ต่อมาในปี 2549 นายชูวิทย์ได้ลาออกจากพรรคชาติไทย เพื่อลงสมัคร สว.กรุงเทพมหานคร แต่ก็ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากยังไม่พ้นจากสถานะภาพ สส. ครบกำหนด 1 ปี ตามกฎหมายกำหนด
หลังจากนั้นนายชูวิทย์ ได้ก่อตั้งพรรครักประเทศไทย ในปี 2553 โดยมีนายชูวิทย์ เป็นหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ซึ่งมีสโลแกนหาเสียงในขณะนั้นว่า “ฉันรักคุณ” และในการเลือกตั้งปี 2554 นายชูวิทย์ได้แถลงข่าวเปิดตัวพรรค พร้อมประกาศว่าจะเป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งจากผลการเลือกตั้งครั้งนั้นพรรครักประเทศไทยได้ ส.ส. เข้าสภา 4 คน
ส่วนการทำงานของนายชูวิทย์ในสภาในฐานะฝ่ายค้านนั้นเป็นไปอย่างโดดเด่น โดยเขาได้รับหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 พร้อมทั้งมีการเปิดเผยข้อมูล บ่อนการพนัน สถานอบายมุข อันมีผลกระทบต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างมาก จนกระทั่ง ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องออกมาตอบโต้ และมีวาทะพิพาทกันในสภา จนทำให้ทั้งคู่ได้รับฉายาว่าเป็น "คู่กัดแห่งปี" ประจำปี 2555 จากสื่อมวลชน
จากนั้น 8 ธันวาคม 2556 นายชูวิทย์แถลงข่าวแนะให้พรรคประชาธิปัตย์ลาออกยกพรรคเพื่อแสดงความจริงใจต่อประชาชน และไปช่วยสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ลาออกไปเป็นแกนนำหลักประท้วงขับไล่รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และหากพรรคประชาธิปัตย์ลาออกยกพรรคจริง จะลูกพรรคจะลาออกตาม และเมื่อพรรคประชาธิปัตย์มีมติให้สมาชิกลาออกจากการเป็น สส.ยกพรรค ทำให้นายชูวิทย์ลาออกจากการเป็น ส.ส.ตามที่ได้พูดไว้ทันที
ในปี 2559 ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุกนายชูวิทย์ ในคดีรื้อบาร์เบียร์ เมื่อปี 2546 ในข้อหาจ้างวาน ฐานทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลอื่นปราศจากเสรีภาพ โดยศาลพิพากษาให้จำคุกนายชูวิทย์ เป็นเวลา 5 ปี ลดเหลือ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
เส้นทาง “จอมแฉ”
ในปี 2560 นายชูวิทย์ ประกาศยุติบทบาททางการเมือง โดยสาบานต่อศาลเจ้าพ่อเสือเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต แต่ยังเคลื่อนไหวผ่านสื่อโซเชียลส่วนตัวอยู่เป็นระยะๆ กระทั่งในปี 256 ชื่อของนายชูวิทย์ กลับมากลายเป็นที่สนใจอีกครั้งจากการออกมาแฉเรื่องทุนจีนสีเทา จนทำให้เกิดการตรวจสอบธุรกิจของคนจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายในเวลาต่อมา
และในปี 2566 ช่วงที่มีการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป นายนชูวิทย์ได้ออกมาประกาศตัวต่อต้านนโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทยอย่างต่อเนื่อง และหลังจากเลือกตั้งจบ นายชูวิทย์มีบทบาทในการแฉเรื่องดีลลับทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมประกาศภารกิจ "แฉเพื่อชาติ" เป็นครั้งสุดท้าย โดยมีการเปิดเผยว่าเป็นมะเร็งตับระยะที่ 3 ซึ่งต้องทำคีโมตลอด จนหมอบอกเวลาแพร่กระจาย 8 เดือนถึงปีครึ่ง